รายงานเวทีเสวนาเชิงนโยบาย ปลด "เดอะแบกของมัม" ด้วยการลงทุนในสวัสดิการมารดา เพื่อสร้างคนคุณภาพของวันพรุ่งนี้ Freeing “Mom’s Burdens” through Investment in Maternal Welfare to Build Quality People for Tomorrow
รายงานเวทีเสวนาเชิงนโยบาย
ปลด
"เดอะแบกของมัม" ด้วยการลงทุนในสวัสดิการมารดา เพื่อสร้างคนคุณภาพของวันพรุ่งนี้
Freeing “Mom’s
Burdens” through Investment in Maternal Welfare
to Build Quality People for
Tomorrow
วันศุกร์ที่
26 กันยายน 2568 เวลา 09:00-15:30 น.
ณ
ห้องประชุมเดซี่ ชั้น 9 โรงแรม ทีเค. พาเลซ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
คุณพูลทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์
ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (HomeNet
Thailand)
ในนามของ 4 องค์กรที่ได้ร่วมการจัดเวทีเสวนาวันนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อชี้ให้เห็นถึงภาระงานดูแล (Care Work) ที่ผู้หญิงจำนวนมากต้องแบกรับ ไม่ว่าจะเป็นแม่ในระบบแรงงานแม่ในภาคเกษตร หรือแม่บ้านที่ดูแลสมาชิกในครอบครัว งานดูแลเหล่านี้มีคุณค่ามหาศาล แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับและสนับสนุนในระบบเศรษฐกิจและสวัสดิการอย่างเพียงพอ ทำให้ผู้หญิงขาดโอกาสในการพัฒนาตนเองทั้งในด้านเศรษฐกิจ เวลา และสุขภาวะ ดังนั้น เวทีนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมกันคิดและผลักดันว่า “เราจะลงทุนในสวัสดิการของผู้หญิงในฐานะแม่ได้อย่างไร” เพื่อให้ผู้หญิงมีสิทธิ มีเวลาสำหรับตัวเอง และสามารถดูแลผู้อื่นได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลให้ครอบครัวและสังคมแข็งแรงขึ้นโดยรวม
คุณเรืองรวี พิชัยกุล
ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา
โครงการเริ่มต้นจากการร่วมมือของภาคีเครือข่ายรวม 4 องค์กร คือ 1) สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ 2) มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (HomeNet Thailand 3) สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และ 4) มูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน (มสร.) ภายใต้โครงการ “เร่งรัดสวัสดิการและการคุ้มครองทางสังคมสำหรับมารดา และผู้ปกครองที่ทำงาน” “Accelerating the Social Welfare, Security, and Protection for Working Mothers/Parents” สนับสนุนโดย Global Fund for Women และ Global Alliance Against Traffic in Women ซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของ “การคุ้มครองมารดา” ในบริบทวิกฤตประชากรทั่วโลก ที่อัตราการเกิดลดลงและแรงงานหญิงยังไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
กิจกรรมเสวนาในรูปแบบ World
Café หรือตลาดนัดความรู้ แสดงนิทรรศการประกอบงานวิจัยฯ
พร้อมแลกเปลี่ยนพูดระหว่างผู้เข้าร่วมเสวนาและตัวแทนขององค์กรรวม 5 องค์กร
1. สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา
(GDRI) สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ เน้นแรงงานแม่จากกลุ่มเปราะบาง พิการ
แม่เลี้ยงเดี่ยว ยากจน ท้องไม่พร้อม ชนเผ่า แม่ในพื้นที่ความขัดแย้ง แม่อาชีพอิสระ
และ ย่า-ยายผู้ดูแล
มุมมองจากภาคประชาสังคม
คุณสันธนา วณิชย์รุจี สหทัยมูลนิธิ
คุณสันธนา ได้สะท้อนประสบการณ์การทำงานของมูลนิธิที่ทำงานด้านเด็กและครอบครัว
โดยชี้ให้เห็นถึงช่องว่างของระบบสวัสดิการเด็กในช่วงอายุแรกเกิดถึง 2
ปีครึ่ง ซึ่งยังไม่มีระบบรองรับอย่างทั่วถึง
เนื่องจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของรัฐส่วนใหญ่รับเด็กตั้งแต่อายุประมาณ 2 ปีครึ่งถึง 3 ปีขึ้นไป
ส่งผลให้ครอบครัวที่มีบุตรเล็กจำนวนมากต้องเผชิญความยากลำบากในการดูแลลูก มูลนิธิพบว่ามีหลายกรณีที่ มารดาไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรได้ด้วยตนเอง
จึงต้องฝากเลี้ยงไว้ในหน่วยบริการขององค์กร ส่งผลให้เด็กบางส่วนหลุดออกจากครอบครัว
และขาดโอกาสในการได้รับนมแม่ตั้งแต่แรกเกิด เด็กหลายคนต้องเติบโตด้วยนมผงแทน
ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
คุณสันธนาเสนอว่า รัฐควรมีนโยบายและสวัสดิการสำหรับเด็กในช่วง 0–6
ปีอย่างครบวงจร โดยเฉพาะการสนับสนุนแม่ให้สามารถดูแลลูกได้ด้วยตนเอง
รวมถึงการส่งเสริม “นมแม่เพื่อเด็กทุกคน” แม้ในกรณีที่แม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกเองได้
เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับสารอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เธอยังเน้นว่า
หากมีนโยบายที่ดีและสอดคล้องกับความต้องการของครอบครัว
ควรมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการ ผลักดันให้เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กต้องแยกจากครอบครัวโดยไม่จำเป็น
คุณชาลี
ลอยสูง สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย
คุณชาลี
ได้นำเสนอภาพรวมของปัญหาแรงงานหญิงทั้งในระบบและนอกระบบ
โดยชี้ให้เห็นว่าแรงงานหญิงจำนวนมากประสบปัญหาในการลาคลอด การให้นมบุตร
และการส่งนมให้ลูกที่อยู่ต่างจังหวัด
ซึ่งมักอยู่ในความดูแลของปู่ย่าตายายในภาคอุตสาหกรรมบางแห่งเริ่มมี
“มุมนมแม่” เพื่ออำนวยความสะดวกให้แรงงานหญิง
ซึ่งถือเป็นแนวปฏิบัติที่ดีและควรขยายให้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งนี้
ปัญหาทางเศรษฐกิจและภาระครอบครัวทำให้แรงงานหญิงจำนวนมากไม่สามารถมีบุตร
หรือไม่มีเวลาพอในการดูแลบุตร ส่งผลให้ประเทศเผชิญ วิกฤติประชากรในอนาคต คุณชาลีเสนอให้ภาครัฐ
สนับสนุนและเร่งรัดนโยบายสวัสดิการแรงงานหญิง ทั้งในระดับโรงงานและระดับชาติ
รวมถึงสร้างกลไกตรวจสอบนายจ้างที่หักเงินสมทบประกันสังคมแต่ไม่ส่งต่อให้สำนักงานประกันสังคม
ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้แรงงานหญิงไม่สามารถใช้สิทธิลาคลอดหรือรับเงินสงเคราะห์บุตรได้
นอกจากนี้
ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเก็บข้อมูลและสถิติที่ชัดเจนเกี่ยวกับ แม่เลี้ยงเดี่ยวและแม่พิการ
เพื่อใช้ในการออกแบบนโยบายที่เหมาะสมและตรงจุด
เพราะปัจจุบันข้อมูลกลุ่มนี้ยังไม่ครบถ้วนเพียงพอ
มุมมองจากภาคเอกชน
คุณบุญธรรม ว่องประพิณกุล เครือข่ายสถานที่ทำงานเป็นมิตรกับครอบครัว
คุณบุญธรรม ได้กล่าวถึงบทบาทของภาคเอกชนในการส่งเสริมสถานที่ทำงานให้เป็นมิตรกับครอบครัว โดยชี้ให้เห็นว่า “ต้นทุน” เป็นประเด็นสำคัญที่ภาคเอกชนให้ความสนใจมากที่สุด การส่งเสริมสวัสดิการและการบริหารจัดการเพื่อความสุขของครอบครัวพนักงาน ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูงเสมอไป แต่อาจดำเนินการผ่านแนวทางการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่นและสร้างสรรค์ จากข้อมูลการจ้างงานระหว่างปี พ.ศ. 2565–2567 พบว่า ภาคเอกชนมีการเพิ่มสัดส่วนแรงงานที่เป็น “สัญญาจ้างชั่วคราว” จาก 4% เป็น 28% ขณะที่จำนวนพนักงานประจำลดลงจาก 42% เหลือเพียง 25% ซึ่งสะท้อนถึงความไม่มั่นคงของแรงงานที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เครือข่ายสถานที่ทำงานเป็นมิตรกับครอบครัว (Family Friendly Workplace – FFWP) จึงมุ่งรณรงค์ให้องค์กรเอกชนกำหนดนโยบายภายในเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน โดยมีแนวทาง (Guideline) หลัก 4 องค์ประกอบ ดังนี้
1. นโยบายและการบริหารจัดการ
o ประกาศเจตนารมณ์ขององค์กรในการดูแลครอบครัวของพนักงาน
o จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะด้านเพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้เป็นรูปธรรม
2.
สวัสดิการสำหรับครอบครัว
(Family
Welfare) ประกอบด้วย 4
ด้านย่อย ได้แก่
o Time
Management: จัดระบบเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น
เพื่อให้ลูกจ้างสามารถดูแลครอบครัวได้
o Work
Location: สนับสนุนให้พนักงานทำงานจากที่บ้านหรือสถานที่ที่เหมาะสมในบางช่วงเวลา
o Family
Support: จัดสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น มุมนมแม่
หรือห้องสำหรับครอบครัว
o Family
Relations: ส่งเสริมกิจกรรมระหว่างครอบครัวของพนักงาน
เช่น กิจกรรมเยี่ยมชมสถานที่ทำงาน
3. ระบบข้อมูลสารสนเทศ
o พัฒนาฐานข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพครอบครัวของพนักงาน
เพื่อใช้วางแผนสวัสดิการอย่างเหมาะสม
4. การติดตามผลและตอบสนองความต้องการของพนักงาน
o ประเมินผลลัพธ์และปรับปรุงสวัสดิการให้สอดคล้องกับสถานการณ์
คุณบุญธรรมเน้นว่า
การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตรกับครอบครัวเป็นการลงทุนระยะยาว ที่ส่งผลดีต่อทั้งนายจ้างและลูกจ้าง
โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ความสุข และความผูกพันในองค์กร
มุมมองภาครัฐและบริหาร
คุณราภรณ์ พงศ์พนิตานนท์ กรมกิจการสตรีและครอบครัว
คุณราภรณ์ ได้อธิบายถึง มาตรการเสริมพลังครอบครัวของรัฐ ที่ได้รับมติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 ซึ่งประกอบด้วย 3 มาตรการสำคัญ ได้แก่
1. การจัดบริการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอายุต่ำกว่า
3
ปี – โดยกรมอนามัยและหน่วยงานท้องถิ่นได้รับแนวทางให้สามารถเปิดรับเด็กอายุต่ำกว่า
2 ปี เพื่อรองรับพ่อแม่ที่ต้องกลับไปทำงานเร็วขึ้น
เนื่องจากปัจจุบันศูนย์ส่วนใหญ่รับเด็กอายุ 2 ปีครึ่งขึ้นไป
2. มาตรการลดหย่อนภาษีและสิทธิวันลาเพื่อการคลอดบุตร
– ภาครัฐได้ขยายสิทธิลาคลอดจาก 90 วันเป็น 98
วัน โดยได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน 90 วัน
3. การพัฒนาระบบสวัสดิการสำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยวและแรงงานนอกระบบ
– มีการตั้งศูนย์บริการแม่เลี้ยเดี่ยวทั่วประเทศ 8 แห่ง และสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ 4 แห่ง
เพื่อให้แม่สามารถเข้ารับการฝึกอาชีพ พร้อมมีเจ้าหน้าที่ดูแลบุตรระหว่างอบรม
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงแรงงานทำงานบ้าน
ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ควรได้รับความคุ้มครองด้านสวัสดิการเช่นเดียวกัน
คุณภัทรพร
เล้าวงค์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
คุณภัทรพร
เสนอว่า การเลี้ยงเด็กหนึ่งคนไม่เพียงต้องอาศัย “หมู่บ้าน” แต่ต้องอาศัย
“ทั้งประเทศ”
ทุกภาคส่วนต้องร่วมรับผิดชอบเพื่อยกระดับคุณภาพเด็กที่เป็นอนาคตของชาติ
ประเด็นสำคัญที่ควรดำเนินการต่อ
ได้แก่
1. การสื่อสารสาธารณะ
เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันว่าการสนับสนุนแม่และเด็กคือประโยชน์ของทุกฝ่าย
ไม่ใช่ภาระของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
2. การออกแบบนโยบายแบบเฉพาะกลุ่ม
(Targeted
Policy Design) โดยกำหนดมาตรการให้ตรงกับ Pain Point ของกลุ่มเป้าหมาย เช่น แม่เลี้ยงเดี่ยว กลุ่มชาติพันธุ์ หรือแรงงานนอกระบบ
3. การเชื่อมโยงสวัสดิการกับการสร้างอาชีพ
เช่น การสนับสนุนให้ชุมชนจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในรูปแบบธุรกิจสังคม (Social
Enterprise) เพื่อเพิ่มรายได้และสร้างงานในท้องถิ่น
มุมมองจากพรรคการเมือง
ส.ส. ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ พรรคประชาชน
ส.ส. ธัญวัจน์ ได้สะท้อนว่า “งานดูแล” (Care Work) และ “งานของผู้หญิง” ยังไม่ได้รับการมองว่าเป็น การลงทุนทางสังคม (Social Investment) อย่างแท้จริง รัฐบาลยังคงมองงบประมาณในด้านนี้เป็น “ค่าใช้จ่าย” มากกว่า “งบลงทุน” แตกต่างจากประเทศในยุโรปที่ถือว่าการสนับสนุนด้านมนุษย์เป็นการลงทุนระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนทางสังคมหลายมิติ เช่น การส่งเสริมการจ้างงาน การพัฒนาเด็กปฐมวัย และการลดภาระครอบครัว จึงเสนอให้มีการปรับ “นิยามงบประมาณ” ของรัฐให้ครอบคลุมการลงทุนในมนุษย์ (Human Capital Investment) และบูรณาการงานร่วมกันระหว่างกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้ระบบสวัสดิการด้านแม่และเด็กเชื่อมโยงและต่อเนื่องกันมากขึ้น
คุณรัชดาภรณ์ แก้วสนิท พรรคประชาธิปัตย์
คุณรัชดาภรณ์ กล่าวถึงความสำคัญของการ
“ลงทุนในการสร้างคน” โดยเน้นว่า การสร้างประชากรที่มีคุณภาพเป็นการลงทุน
ไม่ใช่ภาระ รัฐจำเป็นต้องมองนโยบายด้านแม่และเด็กในมุมของ “การลงทุนทางสังคม”
เพื่อให้ประเทศมีทุนมนุษย์ที่เข้มแข็งในระยะยาว
ไม่ใช่เพียงการใช้จ่ายด้านสวัสดิการ
เธอกล่าวว่าในทางปฏิบัติ
การผลักดันนโยบายลักษณะนี้ “พูดยาก” เพราะสังคมมักให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐาน
เช่น ถนน หรือสิ่งก่อสร้าง มากกว่าการลงทุนในคน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจละเลยได้
เพราะคุณภาพของสังคมขึ้นอยู่กับคุณภาพของคน หากรัฐไม่ลงทุนในการพัฒนาเด็กตั้งแต่ต้น
สังคมโดยรวมก็จะพัฒนาได้ยาก คุณรัชดาภรณ์ยังชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันสังคมยังคงมอง
“การเลี้ยงดูลูก” เป็นภาระของผู้หญิง
โดยเฉพาะแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องรับผิดชอบเพียงลำพัง
และแทบไม่ได้รับความช่วยเหลือจากระบบใด ๆ
เธอยกตัวอย่างกรณีข้อเสนอให้เพิ่มเงินอุดหนุนเด็กเล็กเป็น
600 บาทถ้วนหน้า ว่า แม้จะเป็นจำนวนเงินไม่มาก
แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในเชิงงบประมาณและกระบวนการอนุมัติ
ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพัฒน์ฯ
และสำนักงบประมาณ
ดร. ศตเนติ เนติภัทรชูโชติ พรรคชาติไทยพัฒนา
ดร.ศตเนติ กล่าวถึงความท้าทายของระบบนโยบายสาธารณะในปัจจุบัน โดยเฉพาะ ปัญหาความต่อเนื่องของการบริหารงานภาครัฐ เมื่อมีการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีบ่อยครั้ง ทำให้การดำเนินนโยบายที่ดีหลายเรื่องต้องสะดุด ล่าช้า หรือไม่สอดคล้องกับแผนเดิมของหน่วยงาน ส่งผลให้การแก้ปัญหาด้านสังคมและครอบครัวไม่เป็นระบบ (systematic) เท่าที่ควร ยกตัวอย่างการจัดการงานระดับประเทศ เช่น งานคอนเสิร์ตหรือกิจกรรมภาครัฐ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหลายกระทรวง ซึ่งในปัจจุบันยังขาดกลไกประสานงานอย่างเป็นระบบ แม้เจ้าหน้าที่จะตั้งใจทำงาน แต่ยังมี “ช่องโหว่” ในการบริหารแบบบูรณาการ ในอีกประเด็นหนึ่ง ดร.ศตเนติกล่าวถึง ทัศนคติ (perception) และกรอบความคิด (mindset) ของเด็กและเยาวชนไทย ซึ่งแตกต่างจากประเทศพัฒนาแล้ว ตัวอย่างเช่น การใช้เทคโนโลยี เด็กยุโรปจะมีการจำกัดเวลาในการใช้โทรศัพท์มือถือวันละประมาณ 1 ชั่วโมง และใช้เวลาที่เหลือไปทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ออกกำลังกาย พบปะเพื่อน หรือทำกิจกรรมเพื่อสังคม ขณะที่เด็กไทยจำนวนมากใช้เวลาอยู่กับหน้าจอนานเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการและพฤติกรรม และเน้นว่า การพัฒนาเยาวชนต้องไม่จำกัดอยู่แค่ในโรงเรียน แต่ต้องอาศัยการร่วมมือของ พ่อแม่ ครอบครัว โรงเรียน และรัฐ ในการปลูกฝังวินัย การใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม และการส่งเสริมทักษะชีวิต เพื่อให้เด็กไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพและพร้อมเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศ
มุมมองจากองค์กรระหว่างประเทศ
คุณสมฤดี กาญภักดี IOM
คุณสมฤดี ได้นำเสนอว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ ในขณะที่แรงงานวัยทำงานลดลง จึงควรมอง “สุขภาพของมารดาแรงงานข้ามชาติ” ไม่เพียงในมิติสิทธิมนุษยชน แต่ในฐานะยุทธศาสตร์การสร้างแรงงานรุ่นใหม่ของประเทศ
ข้อเสนอเชิงนโยบาย
3 ประการของ IOM ได้แก่:
1. บูรณาการแม่แรงงานข้ามชาติเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและต้นทุนสาธารณสุขระยะยาว
2. เชื่อมโยงนโยบายสุขภาพมารดากับการวางแผนกำลังแรงงานของประเทศ
เพื่อรองรับสังคมสูงอายุ
3. พัฒนาระบบฐานข้อมูลแรงงานข้ามชาติให้มีการแบ่งปันและอัปเดตระหว่างหน่วยงานรัฐ
เพื่อใช้วางแผนเชิงนโยบายอย่างแม่นยำ
ช่วงบ่าย
การนำเสนอผลงานที่ได้จากการทำวิจัยเชิงนโยบายจาก 4 องค์กรภาคี
ดำเนินรายการ โดย คุณอุษา เลิศศรีสันทัด
1. สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา
(GDRI) สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ เน้นแรงงานแม่จากกลุ่มเปราะบาง
แม่พิการ แม่เลี้ยงเดี่ยว ท้องไม่พร้อม แม่วัยใส แม่ ที่เผชิญความรุนแรง
แม่ชนเผ่า แม่ในพื้นที่ความขัดแย้ง
แม่อาชีพอิสระ และ ย่า-ยาย ผู้ดูแล โดย
คุณเรืองรวี พิชัยกุล
ความเป็นมาของโครงการวิจัย โครงการ “เร่งรัดสวัสดิการและการคุ้มครองทางสังคมสำหรับมารดาและผู้ปกครองที่ทำงาน”- “Accelerating the Social Welfare, Security, and Protection for
Working Mothers/Parents”
สนับสนุนโดย Global Fund
for Women และ Global Alliance Against Traffic in Women โดยมีภาคีเครือข่ายรวม 4 องค์กร คือ 1)
สถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ 2)
มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (HomeNet Thailand) 3) สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และ 4) มูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน
(มสร.)
โครงการนี้ถือเป็นภาคต่อของการทำงานด้านแรงงานนอกระบบและแรงงานข้ามชาติ
ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
แต่ยังขาดการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน งานวิจัยนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างข้อเสนอเชิงนโยบายที่ครอบคลุมทุกมิติของความแตกต่างในหมู่แรงงานหญิง
ทั้งในด้านอาชีพ พื้นที่ และสถานการณ์การทำงาน
ขณะนี้งานวิจัยยังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงข้อมูล
และจะนำข้อเสนอจากการประชุมในวันนี้ไปบูรณาการเข้ากับรายงานฉบับสมบูรณ์
เพื่อใช้ในการผลักดันเชิงนโยบายต่อรัฐบาลในช่วงเวลาอันใกล้ โดยตั้งใจว่า
“รายงานนี้จะไม่ขึ้นหิ้ง แต่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนจริง”
คุณเรืองรวีได้สะท้อนมุมมองเชิงนโยบายว่า
ปัญหาการลดลงของอัตราการเกิดในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย
และเวียดนาม แสดงให้เห็นว่า
“เงินหรือสวัสดิการเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้” แต่หัวใจของปัญหาอยู่ที่
“ทัศนคติและโครงสร้างทางสังคมที่ไม่เอื้อต่อการเป็นแม่และการเลี้ยงดูบุตร” เธอเสนอว่า
ควรมีการออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โดยยกตัวอย่างนโยบายหลัก 4
ด้านที่ประเทศต่าง ๆ ใช้ ได้แก่
1. นโยบายศูนย์เลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพและเข้าถึงได้
2. นโยบายสิทธิลาคลอดสำหรับแม่และพ่อ
3. นโยบายลดภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเด็ก
(เช่น ลดภาษี หรือให้เงินอุดหนุนโดยตรง)
4. นโยบายบริการสุขภาพและด้านอนามัยเจริญพันธุ์ที่ครอบคลุม
คุณเรืองรวีเน้นว่า
การดูแลแม่และเด็กเป็น “ภารกิจของสังคม”
ไม่ใช่ความรับผิดชอบของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งเท่านั้น
พร้อมเสนอให้การพัฒนานโยบายไม่จำเป็นต้องใช้แนวทางเดียวทั่วประเทศ
(“ไม่ต้องตัดรองเท้าคู่เดียวให้ทุกคนใส่”) แต่ควรเริ่มจากพื้นที่นำร่องหรือกลุ่มเฉพาะ
เช่น พื้นที่ชายแดนใต้ กลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือคนพิการ เป็นต้น
เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้เร็วขึ้น
2. มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ (HomeNet
Thailand) เน้นแรงงานแม่จาก
แรงงานนอกระบบ ลูกจ้างทำงานบ้าน หาบเร่
แผงลอย งานอาชีพอิสระ ฯลฯ โดย ดร.บุญสมน้ำ สมบูรณ์
แรงงานนอกระบบตามสำนักงานสถิติแห่งชาติ
ซึ่งหมายถึงผู้ทำงานอายุ 15 ปีขึ้นไปที่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานและไม่มีหลักประกันสังคมจากการทำงาน
เธอชี้ให้เห็นปัญหาหลักของแรงงานกลุ่มนี้ ได้แก่
- ขาดการคุ้มครองทางสังคมและสิทธิแรงงาน
- ค่าจ้างต่ำ
- ชั่วโมงทำงานไม่แน่นอน
ไม่มีวันหยุด
- ขาดโอกาสเข้าถึงการฝึกอบรมและการศึกษา
- แบกรับภาระดูแลเด็กและผู้สูงอายุโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน
กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยครอบคลุมแรงงานหลากหลายอาชีพ
เช่น ลูกจ้างทำงานบ้าน พ่อค้าแม่ค้า ผู้รับงานไปทำที่บ้าน มอเตอร์ไซค์รับจ้าง
และไรเดอร์ โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลผ่านการสัมมนา การอภิปรายกลุ่มย่อย
และการสัมภาษณ์เชิงลึก
ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ได้จากการวิจัย
ได้แก่:
1. สิทธิการลาคลอดและการชดเชยรายได้
– เสนอให้รัฐจ่ายเงินชดเชยในช่วงลาคลอด 180 วัน
โดยแม่ได้รับ 3,000 บาท/เดือน และพ่อได้รับ 2,000 บาท/เดือน ภายใต้เงื่อนไขรายได้ครัวเรือนไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
2. สิทธิด้านสุขภาพและบริการที่เป็นมิตรต่อแม่และเด็ก
– โรงพยาบาลควรปรับปรุงระบบบริการให้เหมาะสมกับแม่แรงงานนอกระบบ
3. การส่งเสริมความรู้ด้านอาชีวอนามัยและสุขภาพจากการทำงาน
– จัดอบรมเชิงรุกและตรวจสุขภาพ ประจำปีสำหรับแรงงานนอกระบบ
4. ศูนย์เด็กเล็กคุณภาพที่เข้าถึงได้
– เปิดรับเด็กอายุ 2–5 ปี
และมีเวลาทำการสอดคล้องกับชั่วโมงทำงานของแรงงานนอกระบบ
5. การคุ้มครองการจ้างงาน
– ขยายสิทธิคุ้มครองไปยังแรงงานในอาชีพอื่น ๆ
เช่นเดียวกับลูกจ้างทำงานบ้าน
6. จัดพื้นที่ให้นมบุตรและเก็บน้ำนมในชุมชน
– โดยเฉพาะในตลาดหรือพื้นที่ทำงานของแม่ค้า
นอกจากนี้ยังเสนอให้รัฐจัดทำ
“ฐานข้อมูลแม่เลี้ยงเดี่ยว” เพื่อให้สามารถออกแบบสวัสดิการเฉพาะกลุ่มได้แม่นยำ
และเน้นบทบาทขององค์กรท้องถิ่นและชุมชนในการร่วมแก้ปัญหา
3. สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) เน้นแรงงานแม่ในระบบ
รัฐวิสาหกิจ และ สัญญาจ้าง
โดย คุณอภันตรี เจริญศักดิ์
คุณอภันตรีนำเสนอกรณีศึกษาจากบริษัทเอกชนที่มีระบบสวัสดิการเพื่อแม่ที่ครบวงจร
โดยมีทั้งมุมให้นมแม่ ห้องพักผ่อนแยกชายหญิง และศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบการ ผลจากการลงพื้นที่พบว่า
การจัดเวลาและสถานที่ปั๊มนมที่เหมาะสมมีผลโดยตรงต่อปริมาณน้ำนม ตัวอย่างเช่น
หากให้เวลาเพียง 15 นาทีจะได้เพียง 2–4 ออนซ์ แต่หากเพิ่มเป็น 30 นาที ปริมาณน้ำนมจะเพิ่มเป็น 6–8 ออนซ์นอกจากนี้ บริษัทบางแห่งยังจัดศูนย์เลี้ยงเด็กอายุ 0–2 ปีในบริเวณสถานประกอบการ โดยมีผู้ดูแล 1 คนต่อเด็ก 3 คน
ทำให้แม่สามารถมาพบลูกช่วงพักเบรคและสร้างความผูกพันทางอารมณ์
คุณอภันตรีตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ในการขยายโมเดลนี้สู่ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) พร้อมเสนอให้รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุน เช่น
การลดหย่อนภาษีหรือเงินอุดหนุนสำหรับสถานประกอบการที่จัดมุมให้นมแม่ อีกหนึ่งประเด็นน่าสนใจคือ การขนส่งน้ำนมแม่จากที่ทำงานกลับบ้านต่างจังหวัด โดยมีการหารือร่วมกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
เพื่อผลักดันให้หน่วยงานรัฐ เช่น รถไฟ บขส. ไปรษณีย์ไทย และสายการบินภายในประเทศ
จัดบริการขนส่งน้ำนมแม่ในตู้แช่เย็นอย่างปลอดภัย
ถือเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายใหม่ที่สามารถขยายสิทธิให้แม่แรงงานได้ทั่วถึง
4. มูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน (มสร.) เน้นแรงงานแม่ในระบบแรงงานข้ามชาติ จากหลายภาคและหลายประเภทงาน โดย Ms. Ei Yatanar Myint และ คุณสุธาสินี แก้วเหล็กไหล
มูลนิธิเพื่อสิทธิแรงงาน ได้นำเสนอผลการวิจัยเรื่อง “การเข้าถึงระบบประกันสังคมของแรงงานข้ามชาติหญิง โดยเฉพาะแรงงานชาวพม่าในประเทศไทย” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาที่มุ่งสำรวจช่องว่างด้านสิทธิและสวัสดิการของแม่แรงงานข้ามชาติ รวมถึงผลกระทบต่อการเลี้ยงดูบุตร งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของแม่แรงงานข้ามชาติที่ทำงานในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ สมุทรสาคร หาดใหญ่ และระนอง ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีแรงงานพม่าจำนวนมาก ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม
ประเด็นปัญหาหลักที่พบ
1. อุปสรรคด้านภาษาและความรู้เกี่ยวกับสิทธิแม่แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ไม่สามารถอ่านหรือเขียนภาษาไทยได้ จึงเข้าไม่ถึงข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประกันสังคม ไม่เข้าใจขั้นตอนการสมัครหรือการใช้สิทธิ ทำให้ไม่สามารถใช้บริการของรัฐได้อย่างเท่าเทียม
2. นายจ้างไม่ส่งเสริมให้เข้าสู่ระบบประกันสังคมในหลายสถานประกอบการ โดยเฉพาะโรงงานขนาดเล็ก นายจ้างไม่กระตือรือร้นในการนำลูกจ้างข้ามชาติเข้าระบบประกันสังคม บางแห่งมองว่าเป็นภาระหรือค่าใช้จ่ายเพิ่ม ส่งผลให้แรงงานหญิงจำนวนมากขาดสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น สิทธิลาคลอดและเงินชดเชยรายได้
3. แรงงานภาคเกษตรอยู่นอกระบบเกือบทั้งหมด แม่แรงงานในภาคเกษตร เช่น สวนยางหรือฟาร์ม ยังไม่สามารถเข้าร่วมระบบประกันสังคมได้เลย ทำให้ต้องพึ่งพา “บัตรประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว” ซึ่งไม่ครอบคลุมสิทธิด้านรายได้หรือสิทธิของบุตร
4. การขาดสิทธิประโยชน์ในช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอด แม่แรงงานจำนวนมากไม่มีสิทธิลาได้รับค่าจ้างในช่วงคลอดลูก ต้องหยุดงานโดยไม่มีรายได้ และบัตรประกันสุขภาพที่ถืออยู่ก็ไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพของเด็ก ทำให้เกิดภาระทางเศรษฐกิจสูง
คุณสุธาสินีเสนอว่า รัฐควรเพิ่มการให้ข้อมูลและบริการด้านภาษาแก่แรงงานข้ามชาติ รวมทั้งส่งเสริมให้นายจ้างทุกภาคส่วนบังคับใช้สิทธิลาคลอดและประกันสังคมอย่างเท่าเทียม เพื่อให้แม่แรงงานข้ามชาติได้รับการคุ้มครองในฐานะ “แรงงานและผู้เป็นแม่” เช่นเดียวกับแรงงานไทย
สรุปและปิดประชุม โดย คุณอุษา
เลิศศรีสันทัด ผู้อำนวยการสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ






ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น