ข้อเสนอรวบรวมจากเวทีเสวนา “สร้างเสริมกระบวนการยุติธรรมที่เป็นมิตรต่อทุกเพศสภาพ”
“สร้างเสริมกระบวนการยุติธรรมที่เป็นมิตรต่อทุกเพศสภาพ”
เวที 1 กรุงเทพฯ 3 ก.ค. 2565
เวที 2 สุราษฎร์ธานี 18 ก.ค. 2565
เวที 3 เชียงใหม่ ส.ค. 2565
ความหมาย (Gender-friendly justice) กระบวนการยุติธรรมที่มีความอ่อนไหวต่อความแตกต่างทางเพศสภาพ
• กฎหมาย สถาบันความยุติธรรม
กระบวนการยุติธรรม
และผลลัพธ์ของความยุติธรรมจะไม่เลือกปฏิบัติ
กับใครก็ตามบนพื้นฐานของเพศ (Sex) และเพศสภาพ (Gender
identities)
• มีมุมมองในเรื่องของสิทธิมนุษยชน
การกำหนดเจตจำนงของตนเอง (Self-determination)
ความเสมอภาคทางเพศ (Gender equality) ความอ่อนไหวทางเพศ
(Gender sensitive) และ
• สิทธิตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เท่าเทียมกันของผู้หญิง
ผู้ชายและทุกเพศสภาพ ในการเข้าถึง และการขจัดอุปสรรค
• สิทธิตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เท่าเทียมกันของผู้หญิง
ผู้ชายและทุกเพศสภาพ ในการเข้าถึง และการขจัดอุปสรรค
ความอ่อนไหวทางเพศสภาพ (Gender-friendly/sensitive) หมายถึง
• การทำความเข้าใจและคำนึงถึงปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายของแต่ละปัจเจกบุคคล
ทั้งหญิง ชาย และหลากหลายทางเพศ เกี่ยวกับชีวิตสาธารณะและชีวิตส่วนตัว
• ซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานมาจากความเชื่อที่ยึดติดอยู่กับบทบาทและความคาดหวังของสังคมแบบตายตัว
ภาพเหมารวมแบบดั้งเดิม (Stereotype)
การตีตรา (Stigma) หรือด้อยค่าพฤติกรรมบางอย่าง
เช่น การสูญเสียพรหมจรรย์ของหญิงสาวเป็นเรื่องน่าอาย เมื่อถูกข่มขืนหรืออนาจาร
หรือ ความเชื่อที่ว่าหญิง ต้องเป็นหญิง ชายต้องเป็นชายเท่านั้น
• อคติทางเพศ การลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นำไปสู่การกีดกันและการเลือกปฏิบัติทางเพศ
ความหมาย (Gender-friendly justice) กระบวนการยุติธรรมที่มีความอ่อนไหวต่อความแตกต่างทางเพศสภาพ
• กฎหมาย สถาบันความยุติธรรม กระบวนการยุติธรรม และผลลัพธ์ของความยุติธรรมจะไม่เลือกปฏิบัติกับใครก็ตามบนพื้นฐานของเพศ (Sex) และเพศสภาพ (Gender identities)
• มีมุมมองในเรื่องของสิทธิมนุษยชน
การกำหนดเจตจำนงของตนเอง (Self-determination)
ความเสมอภาคทางเพศ (Gender equality) ความอ่อนไหวทางเพศ
(Gender sensitive) และ
• สิทธิตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เท่าเทียมกันของผู้หญิง
ผู้ชายและทุกเพศสภาพ ในการเข้าถึง และการขจัดอุปสรรค
• สิทธิตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เท่าเทียมกันของผู้หญิง
ผู้ชายและทุกเพศสภาพ ในการเข้าถึง และการขจัดอุปสรรค
ความอ่อนไหวทางเพศสภาพ (Gender-friendly/sensitive) หมายถึง
• การทำความเข้าใจและคำนึงถึงปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายของแต่ละปัจเจกบุคคล
ทั้งหญิง ชาย และหลากหลายทางเพศ เกี่ยวกับชีวิตสาธารณะและชีวิตส่วนตัว
• ซึ่งมีปัจจัยพื้นฐานมาจากความเชื่อที่ยึดติดอยู่กับบทบาทและความคาดหวังของสังคมแบบตายตัว ภาพเหมารวมแบบดั้งเดิม (Stereotype) การตีตรา (Stigma) หรือด้อยค่าพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูญเสียพรหมจรรย์ของหญิงสาวเป็นเรื่องน่าอาย เมื่อถูกข่มขืนหรืออนาจาร หรือ ความเชื่อที่ว่าหญิงต้องเป็นหญิง ชายต้องเป็นชายเท่านั้น
• อคติทางเพศ การลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
นำไปสู่การกีดกันและการเลือกปฏิบัติทางเพศ
ประการที่ 1 ระบบยุติธรรม
กฎหมายอาญาที่ครอบคลุมสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติ
• ควรโฟกัสไปที่พฤติกรรมของจำเลย
ไม่ใช่พฤติกรรมของเหยื่อ ประณามเหยื่อ
กล่าวหาว่าเหยื่อมีส่วนกระตุ้นให้เกิดการละเมิดทางเพศตนเอง (Victim blaming) หรือมีแนวคิดว่า
เหยื่อต้องการหาประโยชน์ Black mail
• ไม่ควรใช้การไกล่เกลี่ยในคดีละเมิดทางเพศไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกความสัมพันธ์ส่วนตัว
• นำมาตรการ
Plea Bargaining การต่อรองคำให้การ (ไม่ใช่การไกล่เกลี่ย)
ในคดีละเมิดทางเพศ แทนการต่อสู้ฟ้องร้องคดี
เป็นการเจรจาระหว่างอัยการกับผู้ต้องหาตั้งแต่ขั้นตอนก่อนฟ้องคดี
•
“มาตรา
276 ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด
ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้…” ตามมาตรานี้ครอบคลุมถึงการข่มขืนระหว่างคู่สมรสของตน
และรวมถึงในแบบอื่น ๆ ของคนสองคน
• และการกระทำชำเรานั้นเป็นการเอาอวัยวะเพศกระทำกับบุคคลอื่น
ทางปาก อวัยวะเพศ และทวารหนัก ซึ่งอาจเกิดขึ้นระหว่าง ผู้ชายกับผู้ชาย หรือหญิงแปลงเพศที่มีอวัยวะเพศทำขึ้นมาใหม่
• เห็นมิติความเปราะบางที่ทับซ้อน
(Intersectionality)
ในกรณีกระทำความรุนแรงทางเพศ เช่น กรณีผู้เสียหายเป็นคนพิการ
เป็นเด็ก เป็นผู้ไม่มีบัตรประชาชนไทย แรงงานข้ามชาติ หรือกรณีที่ Lesbian ถูก “ข่มขืนเพื่อเปลี่ยนเพศสภาพ”
• ควรออกกฎหมายการคุกคามทางเพศ
(Sexual
Harassment) เนื่องจากมีพฤติกรรมการคุกคามทางเพศ (ที่ไม่ใช่การข่มขืน) โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์
ในที่ทำงาน และในโรงเรียน ซึ่งมีความถี่และความรุนแรงมากขึ้น
การคุกคามทางออนไลน์หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Bullying
• มาตรา
281 การยอมความที่เกิดจากการข่มขืนกระทำชำเราที่เป็นกระทำระหว่างคู่สมรส
ยกเว้นเกิดต่อหน้าธารกำนัล
หรือไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำรับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย
ควรมีการทบทวนแก้ไข ให้การข่มขืนกระทำชำเราทุกกรณียอมความไม่ได้
• การกระทำรุนแรงของภรรยาต่อสามีเพื่อป้องกันตัวเอง
แต่มองว่าเป็นเจตนาฆ่าหรือทำร้ายเกินกว่าเหตุ กระบวนการยุติธรรมฯ ต้องนำแนวคิด Battered Wife Syndrome มาประกอบการพิจารณา
(มีตัวอย่างในประเทศไทย)
• ทหารกระทำผิด-ละเมิดต่อพลเรือน
(โดยเฉพาะคดีทางเพศ) ต้องให้ขึ้นศาลยุติธรรม ไม่ใช่ศาลทหาร
ประการที่
2 การรับเรื่องร้องเรียน
การแจ้งความ และการสืบสวนสอบสวน
• จัดให้มีสายด่วน และควรมีเบอร์โทรศัพท์มือถือของหน่วยนิติเวชหรือของ OSCC เผยแพร่ ที่ช่วยให้คำปรึกษาทันที ปัจจุบันมี
•
สายด่วน
1300 สำหรับเด็กและสตรี
• 1669 สำหรับแพทย์ฉุกเฉิน
•
กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพมี Hotline กด 1111
กดต่อด้วย 77 พร้อมทั้ง
•
Application
ชื่อ Justice Care ยุติธรรมใส่ใจ
ให้บริการเกี่ยวกับสิทธิ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม 24 ชั่วโมง
• ให้ศูนย์ปฏิบัติการของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่รับเรื่องคดีครอบครัวอยู่แล้ว
รวมทั้งโรงพยาบาลในระดับอำเภอหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) รับเรื่องคดีเกี่ยวกับเพศด้วย
และสามารถให้คำแนะนำผู้เสียหายในการเก็บและรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติเวชเบื้องต้น
และส่งต่อผู้เสียหายให้พบกับแพทย์นิติเวชและตำรวจทันที
• ให้อัยการเข้าตรวจสอบคดีตั้งแต่เกิดเหตุ
จะทำให้ทราบเหตุผลและประเมินความจำเป็นที่ต้องร้องขอใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยตั้งแต่ชั้นสืบสวนสอบสวน
และเพื่อป้องกันอิทธิพลที่เหนือกว่าของผู้กระทำความผิด
หรืออาจจะมายุ่งเหยิงกับพยานผู้เสียหายไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
• ใช้แนวทางการสืบพยานผู้เสียหายล่วงหน้าทันทีในชั้นสืบสวนสอบสวนก่อนฟ้องคดีต่อศาลเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพยานบุคคลรวมถึงผู้เสียหายจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร
• สอบปากคำผู้เสียหายโดยการบันทึกถ้อยคำเหยื่อผู้เสียหายผ่านการบันทึกด้วยกล้องวงจรปิดเช่นเดียวกับการถามปากคำในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศที่ผู้เสียหายเป็นเด็กหรือเยาวชน
• เคารพสิทธิความเป็นส่วนตัว
เกียรติ และศักดิ์ศรีของผู้เสียหายด้วยการปกปิดข้อมูลส่วนตัว
และไม่อนุญาตให้สื่อนำออกเผยแพร่
• ถ้าผู้เสียหายเป็นเด็กเล็ก
ก่อนการสอบปากคำอย่างเป็นทางการ เตรียมความพร้อมเด็กควรเริ่มต้นจากสหวิชาชีพ นักจิตวิทยา
หรือนักสังคมให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤติทางจิตใจก่อน
• กรณีผู้เสียหายเป็นคนพิการ
เป็นชนส่วนน้อย ชนเผ่า ต่างชาติ เช่น แรงงานข้ามชาติ และ
คนท้องถิ่นที่ไม่เข้าใจภาษาไทย เช่น ในสามจังหวัดภาคใต้ สถานีตำรวจต้องจัดหาล่าม
และสถานที่เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนพิการ
• พัฒนาแบบฟอร์มและกล่องเก็บหลักฐาน
(จากการดูงานที่ USA.) เพื่อประสิทธิภาพในการส่งต่อและคุ้มครองพยานหลักฐานทุกขั้นตอน (Chain
of Custody) เช่น ผลตรวจต่างๆ DNA
ประการที่
3 การเสริมอำนาจและให้ความช่วยเหลือให้ผู้เสียหาย
• รัฐควรจัดให้มีความช่วยเหลือทางกฎหมายและสังคมแบบครบวงจรจากต้นจนจบกระบวนการทางศาล
โดยให้การสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านการให้ความช่วยเหลือ เช่น บ้านพักฉุกเฉินของเอกชนที่ให้บริการที่มีมิติเพศสภาพ
เพื่อให้มีผู้จัดการคดี (Case
Manager)
• การให้ความช่วยเหลือในบ้านพักต่างๆ
ควรจัดให้ผู้เสียหายที่เป็นกลุ่มหลากหลายทางเพศ ได้อยู่ในที่เหมาะสมตามเพศสภาพ
ปลอดภัย ไม่สร้างความอึดอัดให้ทุกฝ่าย
• ในช่วงการฟ้องร้อง
หลังจากมีการแจ้งความกับตำรวจและกำลังรวบรวมหลักฐาน รัฐหรือหน่วยงานภาคประชาสังคม ควรจัดให้มีบ้านพักชั่วคราว
ให้กับผู้เสียหาย
เนื่องจากผู้เสียหายส่วนใหญ่ต้องเดินทางออกไปประกอบอาชีพในเวลากลางวัน
• การให้ประกันตัวผู้ถูกกล่าวหาคดีทางเพศ
โดยเฉพาะผู้มีอิทธิพล ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
(ไม่ควรให้ข้าราชการประกันตัวผู้ถูกกล่าวหาคดีละเมิดทางเพศ)
• โรงพักควรมีห้องที่แยกออกให้เป็นสัดส่วนในการรับเรื่องและสอบปากคำผู้เสียหายคดีความผิดเกี่ยวกับเพศในทุกพื้นที่
• ควรมีพนักงานสอบสวนหญิงหรือตำรวจที่ได้รับการอบรมในเรื่องความอ่อนไหวมิติเพศสภาพเป็นผู้รับเรื่องราวร้องทุกข์ ดังนั้น ต้องเพิ่มพนักงานสอบสวนหญิงและผู้มีความหลากหลายทางเพศเพิ่มมากขึ้น
• ตำรวจต้องแจ้งสิทธิต่างๆที่ผู้เสียหายพึงได้รับรวมทั้งกระบวนการหรือขั้นตอนในการดำเนินคดีทุกกรณี
• สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องจัดให้มีพนักงานสอบสวนที่เชี่ยวชาญคดีทางเพศ
โดยมีกองบัญชาการพิเศษคดีทางเพศ อบรมเจ้าหน้าที่ทุกคนทุกระดับ
เรื่องสิทธิมนุษยชน มิติเพศสภาพ หญิง
เด็กและผู้มีความหลากหลายทางเพศ ความรู้และเทคนิคที่ก้าวหน้าในการสอบสวน
รวมทั้งหลักฐานดิจิตัล ข้อมูล-ภาพทางออนไลน์ด้วย
และสามารถปฏิบัติงานได้ทุกพื้นที่ตลอด 24
ชั่วโมง ซึ่งรวมทั้งการรับแจ้งความคดีทางเพศได้ทุกสถานีตำรวจ
• สตช.ควรจัดระบบฐานข้อมูลให้คดีทางเพศ
ความรุนแรงในครอบครัว และความรุนแรงทางเพศที่เกิดจากเทคโนโลยี (Technology-facilitated
gender-based violence) แยกเป็นหมวดพิเศษ แยกออกไปจากหมวดการทำร้ายร่างกายทั่วไป เพื่อให้เห็นความรุนแรงที่ชัดเจน
เพื่อสร้างทักษะใหม่ และเพื่อเสนอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหรือระเบียบต่างๆ
• ให้
สตช. จัดทำระเบียบปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศ ในการดำเนินคดีความรุนแรงต่อผู้หญิงและทุกเพศสภาพ
คนพิการ แรงงานหญิงข้ามชาติจากทุกประเทศ ทั้งที่เข้าเมืองถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย
• ต้องไม่มีอคติต่อผู้บริการทางเพศ
เมื่อแจ้งความว่าถูกข่มขืน ก็คือข่มขืน ไม่ใช่สมยอม (การให้บริการทางเพศ ไม่ใช่
ใบอนุญาตให้ข่มขืน)
ประการที่
4 หลักฐานทางนิติเวช และ
นิติวิทยาศาสตร์
• แม้ว่ารพ.จะมีศูนย์บริการช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระทำความรุนแรง
หรือที่รู้จักกันในชื่อ One
Stop Crisis Center (OSCC) แต่เพื่อให้การช่วยเหลือรวดเร็วทันท่วงที
ป้องกันการเสื่อมสลายของหลักฐานต่างๆ แต่เนิ่นๆ แพทย์ทุกคนที่รับผู้ถูกกระทำจากความรุนแรงควรทำการตรวจเก็บหลักฐานทางนิติเวช
โดยไม่จำเป็นต้องรอใบแจ้งความจากตำรวจก่อน และ
• ตำรวจก็ต้องรับแจ้งความทันที
โดยไม่ต้องรอรายงานผลชันสูตรจากแพทย์ เช่นกัน
• แพทย์ทุกสาขาต้องตระหนักว่าหลักฐานทางนิติเวชในกรณีละเมิดทางเพศมีความสำคัญในทางคดี
ควรเก็บหลักฐานทางนิติเวชก่อนที่จะมีการรักษาตามปกติ เช่น จากการบาดเจ็บหรือฉีกขาด
• นำกฎหมายที่มีมาใช้....ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ทำการตรวจพิสูจน์บุคคล
วัตถุ หรือเอกสารใด โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้….และคู่ความหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องต้องให้ความยินยอม
หากคู่ความฝ่ายใดไม่ยินยอมหรือกระทำการป้องปัดขัดขวาง โดยไม่มีเหตุอันสมควร
ให้สันนิษฐานไว้เบื้องต้นว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่คู่ความฝ่ายตรงข้ามกล่าวอ้าง
ประการที่
5 การดำเนินคดี และสืบพยานในชั้นศาล
• ประกันความปลอดภัยและความมั่นใจของผู้เสียหายคดีทางเพศ
หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าหรือถูกข่มขู่จากผู้ถูกกระทำ
ซึ่งอาจเป็นผู้มีอำนาจเหนือ เป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
มีตัวอย่างที่ดี เช่น การให้มีฉากกั้นระหว่างคู่กรณี หรือการใช้เทคโนโลยีเช่น
กล้องวงจรปิด เป็นต้น
• ทั้งเจ้าหน้าที่บ้านพัก
นักสังคมฯ เจ้าหน้าที่ตามพรบ. ความรุนแรงในครอบครัว พรบ.คุ้มครองเด็ก
องค์กรปกครองท้องถิ่น ตำรวจ อัยการ และศาลที่ทำคดีทางเพศ ควรต้องมีความรู้
ความเข้าใจ ความอ่อนไหวในมิติเพศสภาพ และมีระบบประสานงานที่ดี
ซึ่งจะช่วยให้ลดอุปสรรคที่เกิดจากอคติทางเพศ
ทำให้ผู้เสียหายเกิดความมั่นใจให้ความร่วมมือ
• ต้องจัดให้คดีทางเพศมีความรวดเร็ว
เพราะความล่าช้า
และภาระในการเป็นพยานซ้ำซากเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้เสียหายจำนวนมากท้อถอย
และบางกรณียอมประนีประนอม
ประการที่
6 การชดเชย เยียวยา ผู้เสียหาย
• ตามพรบ. ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทน
และค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม
ควรให้ผู้เสียหายทุกสัญชาติหรือไม่มีสัญชาติโดยไม่เลือกปฏิบัติ ให้ครอบคลุมถึงแรงงานข้ามชาติที่เข้าเมืองไม่ถูกกฎหมายด้วย
(มีการความสำเร็จในเรื่องการเยียวยาแรงงานข้ามชาติแล้ว)
• ในกรณีผู้ถูกละเมิดทางเพศควรพิจารณาในกรณียกฟ้องด้วย
เพราะตามสถิติมีคดีทางเพศที่มีการยกฟ้องเนื่องจากความยุ่งยากดังที่กล่าวมาข้างต้น
• เพื่อคุ้มครองสิทธิในกรณีผู้เสียหายทางเพศ
ควรจัดแยกห้องการซักประวัติต่างหาก และขอให้มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงทำหน้าที่ด้วย
วันที่ 28
กรกฎาคม 2565 นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร
รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพกระทรวงยุติธรรม
จ่ายเงินเยียวยาหญิงชาวรัฐฉานถูกข่มขืน หลังศาลมีคำอุทธรณ์
มีคำพิพากษา รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิฯ เผยจัดทำ
ประชาพิจารณ์ 17 ส.ค.นี้ เพื่อเปลี่ยน แปลงกรอบปฏิบัติ
จ่ายเงิน พ.ร.บ. สชง. ในอนาคต
พิจารณาเพิ่มเติมประเด็นที่อยู่ในร่างข้อเสนอให้สมบูรณ์
พร้อมนำเสนอคำถามเพื่อพิจารณาในกลุ่ม
1. ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับร่างข้อเสนอที่ร่างไว้แล้ว
ถ้าไม่เห็นด้วย เพราะเหตุใด
2. ท่านต้องการให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างข้อเสนออย่างไรบ้าง
3. ท่านและเครือข่ายจะมีส่วนร่วมรณรงค์เชิงนโยบายให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร



ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น